OpenAI NextGenAI

OpenAI NextGenAI: Artificial Intelligence For The Future

OpenAI NextGenAI : อนาคตของปัญญาประดิษฐ์ ปัญญาประดิษฐ์กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และทุกครั้งที่มีการพัฒนาเวอร์ชันใหม่ เราจะเห็นโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดขึ้นและทรงพลังมากขึ้น OpenAI NextGenAI คือการเปิดตัวครั้งล่าสุดจาก OpenAI ที่ตั้งเป้าที่จะขยายขอบเขตของสิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นไปได้ โมเดลใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถและการเรียนรู้ที่ดีขึ้นสำหรับระบบปัญญาประดิษฐ์นี้ มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีที่ธุรกิจ นักวิจัย และผู้ใช้ทั่วไปมีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยี ในบทความนี้ เราจะมาสำรวจว่าโมเดลใหม่คืออะไร คุณสมบัติหลักๆ ของมัน และศักยภาพในการปฏิวัติอุตสาหกรรมทั่วโลก OpenAI NextGenAI คืออะไร? โมเดลรุ่นถัดไปนี้จาก OpenAI ได้รับการพัฒนาเป็นการพัฒนาต่อจากเวอร์ชันก่อนๆ โดยมีการสร้างจากความสำเร็จของ GPT-4 และโมเดลอื่นๆ มันใช้เทคนิคอัลกอริธึมที่ทันสมัยและการเรียนรู้เชิงลึกที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ผลลัพธ์ AI ที่แม่นยำ มีประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลภาษาธรรมชาติ การมองเห็นคอมพิวเตอร์ หรือด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ โมเดลใหม่นี้ได้รับการออกแบบเพื่อให้เป็นระบบที่เข้าใจง่ายและสามารถทำงานได้ดีขึ้น  โมเดลนี้ไม่ได้มุ่งหวังแค่การทำงานอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังมุ่งหมายที่จะเข้าใจและสร้างคำตอบที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการฝึกฝนจากชุดข้อมูลขนาดใหญ่ โมเดลนี้จึงสามารถมีปฏิสัมพันธ์ในหลายบริบท ทำให้มันเหมาะสมกับหลากหลายอุตสาหกรรมและแอปพลิเคชัน  คุณสมบัติหลักของ New NextGen AI  การเข้าใจภาษาที่ล้ำหน้า  หนึ่งในการพัฒนาหลักของ NextGen AI คือความสามารถในการเข้าใจและตีความภาษาที่ซับซ้อนมากขึ้น มันสามารถสร้างคำตอบที่แม่นยำมากขึ้น…

GPT-4.5 new model

Introducing GPT 4.5 new model

Introducing GPT 4.5 NEW MODEL: ยุคใหม่ของเทคโนโลยี AI ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และการเปิดตัว GPT 4.5 NEW MODEL เป็นการทำลายขอบเขตใหม่ในวงการพัฒนา AI ในฐานะรุ่นล่าสุดของโมเดล GPT ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของ OpenAI, GPT 4.5 สัญญาว่าจะมอบผลลัพธ์ที่แม่นยำ ตอบสนองได้เร็ว และชาญฉลาดยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง GPT-4 ในบทความนี้เราจะพาคุณไปสำรวจว่า GPT 4.5 คืออะไร, การปรับปรุงจาก GPT-4 เป็นอย่างไร และผลกระทบที่มันอาจมีต่ออุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เทคโนโลยี, การดูแลสุขภาพ, การศึกษา และอื่นๆ  เกี่ยวกับ GPT 4.5 NEW MODEL GPT 4.5 คือรุ่นใหม่ล่าสุดของซีรีส์ Generative Pretrained Transformer (GPT) จาก OpenAI ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความสามารถของรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง GPT-4…

Lynx Cross-platform

Lynx, A cross-platform framework

Lynx cross-platform: The React Native Killer? การวิเคราะห์เชิงลึก React Native เป็นเฟรมเวิร์กสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือแบบข้ามแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมาเป็นเวลาหลายปี ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเขียนโค้ดเพียงครั้งเดียวและใช้งานได้ทั้งบน iOS และ Android อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีคู่แข่งรายใหม่เกิดขึ้น—Lynx cross-platform เฟรมเวิร์กข้ามแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดย ByteDance ด้วยคำมั่นสัญญาว่าจะให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า มีเอนจินเรนเดอร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถผสานรวมกับระบบเนทีฟได้อย่างราบรื่น Lynx กำลังถูกยกย่องว่าอาจเป็น “React Native killer”  แต่ Lynx มีศักยภาพพอที่จะโค่น React Native ได้จริงหรือไม่? ในบทความนี้ เราจะสำรวจว่า ByteDance ได้สร้างอะไรขึ้นมา เปรียบเทียบ Lynx กับ React Native อย่างไร และ Lynx มีโอกาสครองตลาดการพัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มหรือไม่  เกี่ยวกับ Bytedance ByteDance เป็นบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติจากจีนที่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้พัฒนา TikTok หนึ่งในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 ByteDance…

m365 or Google workspace

M365 or Google Workspace: Which one is better? 

M365 หรือ Google Workspace: ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ ในยุคที่การทำงานร่วมกันผ่านเทคโนโลยีและเครื่องมือออนไลน์เป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้น การเลือกเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานร่วมกันในองค์กรจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะเมื่อเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันคือ M365 (Microsoft 365) และ Google Workspace (เดิมคือ G Suite) ซึ่งทั้งสองแพลตฟอร์มนี้มีความแตกต่างกันในหลายด้าน รวมถึงฟีเจอร์, ราคา, ความปลอดภัย และความสะดวกในการใช้งาน ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่า M365 or Google Workspace ตัวไหนที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด  M365 or Google Workspace ฟีเจอร์หลักของ M365 (Microsoft 365) M365 เป็นชุดเครื่องมือที่พัฒนาโดย Microsoft ซึ่งมีฟีเจอร์ที่หลากหลายและมีความสามารถสูง ที่สามารถรองรับการทำงานทั้งในระดับบุคคลและองค์กร เช่น:  Microsoft Word, Excel, PowerPoint: เครื่องมือที่มีฟีเจอร์ครบครัน ใช้งานได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เหมาะสำหรับการสร้างและแก้ไขเอกสารในทุกๆ ด้าน  Microsoft Outlook: อีเมลที่มีฟีเจอร์การจัดการอย่างครบถ้วน ทั้งการจัดการอีเมล,…

Secure Data Warehouse

How to Set up A Secure Data Warehouse?

Secure Data Warehouse เพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญ ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในปัจจุบัน ความปลอดภัยของคลังข้อมูลของคุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อธุรกิจมากขึ้นย้ายไปยังสภาพแวดล้อมคลาวด์ การรับรองว่า Secure Data Warehouse ของคุณได้รับการกำหนดค่าเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ คลังข้อมูลที่มีความปลอดภัยให้การจัดเก็บที่ปลอดภัย การจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และการควบคุมความปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมาย ด้านล่างนี้เราได้สรุปขั้นตอนที่สำคัญในการตั้งค่าคลังข้อมูลที่ปลอดภัยและการรักษาความสมบูรณ์ของมันในระยะยาว  วิธีการตั้งค่า Secure Data Warehouse  1. กำหนดนโยบายความปลอดภัยและข้อกำหนดการปฏิบัติตามข้อกำหนด  ขั้นตอนแรกในการตั้งค่าคลังข้อมูลที่ปลอดภัย คือการเข้าใจข้อกำหนดด้านกฎหมายและความปลอดภัยที่ธุรกิจของคุณต้องปฏิบัติตาม ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น สาธารณสุขและการเงินอาจมีมาตรฐานการปฏิบัติตามข้อกำหนดเฉพาะ (HIPAA, GDPR, PCI DSS ฯลฯ) ที่ควบคุมวิธีการจัดการและปกป้องข้อมูล การจัดประเภทข้อมูล: ระบุและจัดประเภทข้อมูลตามระดับความละเอียดอ่อน (เช่น ข้อมูลลับ ข้อมูลจำกัด ข้อมูลสาธารณะ)  การตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนด: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลังข้อมูลของคุณปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดในอุตสาหกรรมที่จำเป็น  ข้อจำกัดการเข้าถึง: กำหนดนโยบายที่เข้มงวดสำหรับการเข้าถึงและการใช้งานข้อมูล โดยจำกัดการเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนตามความจำเป็นในการรู้  2. เลือกแพลตฟอร์ม Secure Data Warehouse ที่เหมาะสม  การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อความปลอดภัยของคลังข้อมูลของคุณ มีผู้ให้บริการคลาวด์หลายรายที่ให้บริการโซลูชันคลังข้อมูล และแต่ละรายมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ไม่เหมือนกัน บางแพลตฟอร์มชั้นนำ…

Fabric Networks

Why is Fabric Networks gaining popularity in cloud computing? 

ทำไม Fabric Networks ถึงได้รับความนิยมในคลาวด์คอมพิวติ้ง ในโลกของคลาวด์คอมพิวติ้งที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน, Fabric Networks กำลังกลายเป็นหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการจัดการและเชื่อมต่อทรัพยากรในระบบคลาวด์ การใช้งานโครงสร้างเครือข่ายนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างเครือข่ายที่ยืดหยุ่น, ขยายตัวได้ง่าย และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว Fabric Networks คืออะไร?  เป็นสถาปัตยกรรมเครือข่ายที่ใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อระบบต่างๆ ทั้งทางกายภาพและเสมือนเข้าด้วยกันในโครงสร้างที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งสามารถเชื่อมต่อและบริหารจัดการทรัพยากรในคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถขยายตัวและปรับตัวได้ตามความต้องการของระบบ ทำให้มีการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างศูนย์ข้อมูล (data centers) หรือระบบต่างๆ ได้โดยง่าย ซึ่งเหมาะสมกับการทำงานในยุคดิจิทัลที่ต้องการประสิทธิภาพและการเข้าถึงที่รวดเร็ว  การใช้โครงสร้างเครือข่ายนี้ช่วยเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างบริการต่างๆ ในคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งพาเครือข่ายแบบเดิมๆ ที่มีข้อจำกัดในการขยายตัวและการปรับปรุงประสิทธิภาพที่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก  ประโยชน์ของ Fabric Networks ในคลาวด์คอมพิวติ้ง  ความสามารถในการขยายตัวได้ง่าย การขยายเครือข่ายในรูปแบบนี้สามารถทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ซึ่งเหมาะสมกับการเติบโตของธุรกิจในยุคปัจจุบันที่ต้องการเพิ่มขนาดเครือข่ายตามความต้องการโดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพที่มีอยู่ นอกจากนี้ยังสามารถขยายระบบได้โดยไม่ต้องเพิ่มฮาร์ดแวร์หรือโครงสร้างที่ซับซ้อน ทำให้การจัดการระบบคลาวด์ของธุรกิจมีความยืดหยุ่นและรองรับการเติบโตได้ตลอดเวลา  การจัดการเครือข่ายที่ง่ายขึ้น ด้วยการมีระบบที่สามารถรวมการจัดการเครือข่ายทั้งหมดเข้าไว้ในที่เดียว ช่วยให้การบริหารจัดการเครือข่ายเป็นเรื่องง่าย ลดความซับซ้อนของการตั้งค่าระบบและการตรวจสอบประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสามารถบูรณาการกับเครื่องมือและบริการในคลาวด์อื่นๆ ได้อย่างราบรื่น เช่น การเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ข้อมูลต่างๆ หรือการใช้บริการคลาวด์สาธารณะและส่วนตัวร่วมกัน  เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายโอนข้อมูล เนื่องจากการออกแบบที่ลดความหน่วง (latency) และเพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างศูนย์ข้อมูลหรือเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ทำให้การประมวลผลข้อมูลและการใช้งานแอปพลิเคชันในคลาวด์เป็นไปอย่างราบรื่น การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างระบบต่างๆ จะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในระบบที่ต้องการข้อมูลที่มีความแม่นยำและทันเวลา  ลดต้นทุน การรวมทรัพยากรและการทำงานร่วมกันระหว่างเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ จะช่วยลดต้นทุนในการดูแลรักษาเครือข่ายและการซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม โดยสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าและไม่ต้องมีโครงสร้างซับซ้อน…

Cloud องค์กร Cost

How Much Does Enterprise Cloud Cost in 2025?

Cloud องค์กร Cost: ปัจจัยที่ส่งผลและวิธีการประหยัดค่าใช้จ่าย เมื่อองค์กรต่าง ๆ ยังคงนำเทคโนโลยีคลาวด์มาใช้ การทำความเข้าใจ Cloud องค์กร Cost ที่เกี่ยวข้องกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับการวางแผนงบประมาณและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ภูมิทัศน์ของคลาวด์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และในปี 2025 ธุรกิจจะต้องประเมินค่าใช้จ่ายในการใช้บริการคลาวด์อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงประเภทของบริการ ปริมาณการใช้งาน และผู้ให้บริการ มาดูกันว่าโครงสร้างของค่าใช้จ่ายคลาวด์ทำงานอย่างไรและปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อค่าใช้จ่ายเหล่านั้น  ปัจจัยที่มีผลต่อ Cloud องค์กร Cost ในปี 2025  มีปัจจัยสำคัญหลายประการที่มีผลต่อค่าใช้จ่ายคลาวด์โดยรวมขององค์กร ตั้งแต่บริการโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานไปจนถึงเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูง ต่อไปนี้คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด:  1. โมเดลบริการคลาวด์: IaaS, PaaS, และ SaaS  บริการคลาวด์ที่มีให้บริการมักจะถูกจัดกลุ่มเป็นสามโมเดลหลัก:  IaaS (Infrastructure as a Service): โมเดลนี้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐาน เช่น พลังการประมวลผล, การเก็บข้อมูล และเครือข่าย องค์กรจะจ่ายเฉพาะสำหรับทรัพยากรที่ใช้งานเท่านั้น ซึ่งเป็นโมเดลที่มีค่าใช้จ่ายคุ้มค่าสำหรับบริษัทที่มีความต้องการใช้งานที่ไม่แน่นอน แต่ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมีความต้องการสูงขึ้น  PaaS (Platform as a Service): PaaS…

Copilot New Sales Agents

Copilot New Sales Agents: Enhancing Sales Efficiency with AI

Copilot New Sales Agents เปลี่ยนโฉมงานขายด้วย AI อัจฉริยะใน Microsoft 365 ในยุคที่ธุรกิจต้องการความรวดเร็วและแม่นยำในการปิดการขาย Microsoft 365 Copilot กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยล่าสุด Microsoft ได้เปิดตัว Copilot New Sales Agents ซึ่งเป็นเครื่องมือ AI อัจฉริยะที่ช่วยให้พนักงานขายทำงานได้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดภาระงานที่ไม่จำเป็น ด้วยการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประมวลผลโอกาสทางการขาย และช่วยติดต่อลูกค้าแบบอัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการขายให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ    Copilot New Sales Agents คืออะไร?  Sales Agents เป็นฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft 365 Copilot ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการขายให้กับทีมขายทุกระดับ ระบบ AI อัจฉริยะนี้ได้รับการพัฒนาให้สามารถ:  วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ เพื่อเสนอแนะกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการปิดการขาย  สร้างเอกสารและรายงานอัตโนมัติ ลดเวลาการทำเอกสารและเพิ่มเวลาสำหรับการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า  ช่วยติดตามโอกาสทางการขาย โดยแจ้งเตือนดีลที่อาจจะปิดได้เร็วและแนะนำขั้นตอนต่อไป  บูรณาการกับ…

กลยุทธ์การซื้อ Cloud ที่ดีที่สุด

Best ซื้อ Cloud Strategies for 2025 

ซื้อ Cloud ที่ดีที่สุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ ตลาดคลาวด์คอมพิวติ้งกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และธุรกิจกำลังมองหาวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเลือกใช้บริการคลาวด์ที่หลากหลาย เนื่องจากบริษัทต่างๆ ใช้คลาวด์สำหรับการเก็บข้อมูล การประมวลผล และการปรับใช้แอปพลิเคชัน การเลือก กลยุทธ์การ ซื้อ Cloud ที่ดีที่สุด จะกลายเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในปี 2025 ซึ่งกลยุทธ์การซื้อคลาวด์จะต้องปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มใหม่ๆ การพัฒนาเทคโนโลยี และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ  กลยุทธ์การ ซื้อ Cloud ที่ดีที่สุด ในปี 2025  เข้าใจความต้องการของธุรกิจและการเติบโตในอนาคต หนึ่งในขั้นตอนแรกในการสร้างกลยุทธ์การซื้อคลาวด์ที่แข็งแกร่งคือการประเมินความต้องการของธุรกิจและแผนการเติบโตในอนาคตอย่างถี่ถ้วน การนำคลาวด์มาใช้งานไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสมกับทุกธุรกิจ และการเลือกผู้ให้บริการหรือโมเดลที่ผิดอาจนำไปสู่การสูญเสียทรัพยากรหรือจำกัดความสามารถในการขยายตัว  สิ่งที่ต้องพิจารณา:  ปริมาณงานในปัจจุบัน: ประเมินประเภทและปริมาณข้อมูลที่ธุรกิจของคุณจัดการ  ความต้องการในอนาคต: พิจารณาว่าความต้องการด้านข้อมูลและการประมวลผลของคุณจะเติบโตอย่างไรในอีก 3-5 ปีข้างหน้า  ข้อจำกัดงบประมาณ: กำหนดงบประมาณคลาวด์เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเกินไป  เน้นการใช้โซลูชัน Hybrid และ multi-cloud เมื่อผู้ให้บริการคลาวด์มีการแข่งขันกันเพิ่มขึ้น การเลือกใช้กลยุทธ์ Hybrid หรือ multi-cloud จะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกผูกขาดจากผู้ให้บริการเดียว ในปี 2025 ธุรกิจมากขึ้นเริ่มใช้คลาวด์สาธารณะและส่วนตัวร่วมกัน โดยมีการปรับสมดุลระหว่างต้นทุนและประสิทธิภาพ  ข้อดีของ Hybrid…

AI-Powered Antivirus

AI-Powered Antivirus: The Future of Cybersecurity Innovation

AI-Powered Antivirus: นวัตกรรมป้องกันภัยไซเบอร์แห่งอนาคต ในปี 2025 AI-Powered Antivirus คือซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่ใช้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning (ML) ในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ระบบสามารถเรียนรู้และปรับตัวได้อย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับมัลแวร์ประเภทใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน ต่างจากแอนตี้ไวรัสแบบเดิมที่ต้องอาศัยฐานข้อมูลลายเซ็นไวรัส (Virus Signature) ซึ่งอาจไม่สามารถตรวจจับมัลแวร์ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นได้  มีความสามารถในการ วิเคราะห์พฤติกรรมของไฟล์และโปรแกรม ทำให้สามารถป้องกันภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในระดับบุคคลและองค์กร  AI-Powered Antivirus ทำงานอย่างไร?  ซอฟต์แวร์นี้ใช้เทคนิคที่ทันสมัยในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามไซเบอร์ ซึ่งรวมถึง:  การวิเคราะห์พฤติกรรม (Behavioral Analysis) ระบบ AI สามารถตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติของไฟล์หรือโปรแกรม เช่น การเข้ารหัสไฟล์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการเปลี่ยนแปลงไฟล์ระบบสำคัญ  สามารถแยกแยะระหว่างไฟล์ที่เป็นอันตรายและไฟล์ที่ปลอดภัยได้โดยอัตโนมัติ  การเรียนรู้จากข้อมูลมหาศาล (Machine Learning & Big Data) AI เรียนรู้จากตัวอย่างมัลแวร์และพฤติกรรมของไวรัสในอดีต เพื่อคาดการณ์ภัยคุกคามใหม่ที่ยังไม่มีในฐานข้อมูล  สามารถตรวจจับ มัลแวร์ Zero-Day ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่ยังไม่มีลายเซ็นในฐานข้อมูลของแอนตี้ไวรัสทั่วไป  ระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ (Real-time…