Microsoft SQL vs MySQL: เปรียบเทียบความแตกต่าง ข้อดี และการใช้งาน

เมื่อพูดถึงระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) สองตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ Microsoft SQL vs MySQL ทั้งสองถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดเก็บ ดึงข้อมูล และบริหารจัดการข้อมูล แต่มีคุณลักษณะ ความสามารถ และกรณีการใช้งานที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสองระบบนี้จะช่วยให้ธุรกิจและนักพัฒนาสามารถเลือกโซลูชันฐานข้อมูลที่เหมาะสมกับความต้องการได้
ในบทความนี้ เราจะสำรวจความแตกต่างที่สำคัญระหว่างระบบฐานข้อมูลทั้งสองนี้ รวมถึงสถาปัตยกรรม ประสิทธิภาพ ความสามารถในการขยายขนาด ความปลอดภัย และกรณีการใช้งาน
ภาพรวมของ Microsoft SQL Vs MySQL
Microsoft SQL คืออะไร?
Microsoft SQL Server (MSSQL) เป็นระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (RDBMS) ที่พัฒนาโดย Microsoft ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในระดับองค์กร และมีคุณสมบัติขั้นสูงสำหรับการจัดเก็บ ดึงข้อมูล ความปลอดภัย และการวิเคราะห์
คุณลักษณะสำคัญ:
- รองรับการประมวลผลธุรกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง
- มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยขั้นสูง เช่น การเข้ารหัสและการควบคุมการเข้าถึงตามบทบาท (RBAC)
- รองรับการวิเคราะห์เชิงธุรกิจ (Business Intelligence) และการวิเคราะห์ข้อมูล
- มีเครื่องมือในตัวสำหรับการสำรองข้อมูลและการกู้คืนจากภัยพิบัติ
MySQL คืออะไร?
MySQL เป็นระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์แบบโอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดย Oracle มีความโดดเด่นในเรื่องความเรียบง่าย ความยืดหยุ่น และความคุ้มค่า ทำให้เป็นที่นิยมในแอปพลิเคชันบนเว็บและสตาร์ทอัพ
คุณลักษณะสำคัญ:
- เป็นโอเพ่นซอร์สและขับเคลื่อนโดยชุมชน
- รองรับการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม
- มีประสิทธิภาพสูงในการประมวลผลข้อมูลที่มีการอ่านหนัก
- มีความสามารถในการขยายขนาดและเหมาะกับการใช้งานหลากหลายประเภท
การเปรียบเทียบโดยละเอียด: Microsoft SQL vs MySQL

ตารางด้านล่างแสดงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างระบบฐานข้อมูลทั้งสองในหลายแง่มุม:
คุณลักษณะ | Microsoft SQL Server | MySQL |
การออกใบอนุญาตและค่าใช้จ่าย | ต้องใช้ใบอนุญาตแบบชำระเงินสำหรับฟีเจอร์องค์กร มีเวอร์ชันฟรี SQL Server Express ที่มีความสามารถจำกัด | เป็นโอเพ่นซอร์สและใช้ฟรีภายใต้ GNU GPL มีเวอร์ชันเชิงพาณิชย์จาก Oracle |
รองรับแพลตฟอร์ม | ส่วนใหญ่รองรับ Windows แต่รองรับ Linux ในเวอร์ชันล่าสุด | รองรับหลายแพลตฟอร์ม เช่น Windows, Linux และ macOS |
ประสิทธิภาพ | ปรับแต่งสำหรับการประมวลผลธุรกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงและการประมวลผลคำสั่งที่ซับซ้อน | มีประสิทธิภาพสูงในการประมวลผลข้อมูลที่มีการอ่านหนัก เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันบนเว็บ |
ความสามารถในการขยายขนาด | รองรับการขยายขนาดทั้งแนวตั้งและแนวนอน เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ | รองรับการขยายขนาดแนวตั้ง การขยายขนาดแนวนอนต้องมีการตั้งค่าเพิ่มเติม |
ความปลอดภัย | มีฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูง เช่น TDE, Always Encrypted และ RBAC | มีฟีเจอร์ความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น SSL ต้องมีการตั้งค่าเพิ่มเติมสำหรับความปลอดภัยขั้นสูง |
การสำรองและการกู้คืน | รองรับการกู้คืนแบบ Point-in-Time และการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ | มีตัวเลือกการสำรองข้อมูลมาตรฐาน ต้องใช้เครื่องมือเพิ่มเติมสำหรับการกู้คืนขั้นสูง |
การวิเคราะห์ข้อมูล | รองรับการวิเคราะห์ข้อมูลและ Business Intelligence ผ่าน Power BI | รองรับการวิเคราะห์ข้อมูลผ่านเครื่องมือจากบุคคลที่สาม |
Stored Procedures | รองรับ Stored Procedures ขั้นสูงที่มีตรรกะทางธุรกิจที่ซับซ้อน | รองรับ Stored Procedures แต่มีตัวเลือกขั้นสูงน้อยกว่า |
การผสานรวม | ผสานรวมกับระบบนิเวศของ Microsoft ได้อย่างไร้รอยต่อ (เช่น Azure, Power BI) | ผสานรวมกับเครื่องมือโอเพ่นซอร์สและแพลตฟอร์มอื่น ๆ |
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Microsoft SQL และ MySQL
1. การออกใบอนุญาตและค่าใช้จ่าย (Licensing and Cost)
- Microsoft SQL: ต้องใช้ใบอนุญาตแบบชำระเงินสำหรับฟีเจอร์ระดับองค์กร SQL Server Express ให้บริการฟรีแต่มีความสามารถที่จำกัด เหมาะสำหรับองค์กรที่มีงบประมาณสำหรับโซลูชันฐานข้อมูลประสิทธิภาพสูง
- MySQL: เป็นโอเพ่นซอร์สและใช้ฟรีภายใต้ GNU General Public License (GPL) โดยมีเวอร์ชันเชิงพาณิชย์พร้อมการสนับสนุนจาก Oracle
2. ความเข้ากันได้กับแพลตฟอร์ม (Platform Compatibility)
- Microsoft SQL: ส่วนใหญ่รองรับการใช้งานบน Windows แต่สามารถรองรับ Linux ได้ในเวอร์ชันล่าสุด ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานข้ามแพลตฟอร์มมากขึ้น
- MySQL: รองรับการใช้งานบนหลายแพลตฟอร์ม รวมถึง Windows, Linux และ macOS ทำให้นักพัฒนามีความยืดหยุ่นสูง
3. ประสิทธิภาพและความสามารถในการขยายขนาด (Performance and Scalability)
- Microsoft SQL: ปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับการประมวลผลธุรกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงและการประมวลผลคำสั่งที่ซับซ้อน เหมาะสำหรับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่
- MySQL: มีชื่อเสียงในด้านความเร็วในการประมวลผล โดยเฉพาะแอปพลิเคชันที่มีการอ่านข้อมูลหนัก เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันบนเว็บขนาดเล็กถึงขนาดกลาง
4. คุณสมบัติด้านความปลอดภัย (Security Features)
- Microsoft SQL: มีคุณสมบัติความปลอดภัยขั้นสูง เช่น Transparent Data Encryption (TDE), Always Encrypted และการควบคุมการเข้าถึงตามบทบาท (RBAC)
- MySQL: มีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น SSL การตั้งค่าความปลอดภัยขั้นสูงอาจต้องมีการกำหนดค่าเพิ่มเติม
5. การสำรองข้อมูลและการกู้คืน (Backup and Recovery)
- Microsoft SQL: รองรับตัวเลือกการสำรองข้อมูลและการกู้คืนขั้นสูง เช่น การกู้คืนข้อมูลแบบ Point-in-Time และการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ
- MySQL: มีตัวเลือกการสำรองข้อมูลมาตรฐาน แต่การกู้คืนขั้นสูงอาจต้องใช้เครื่องมือเพิ่มเติม
กรณีการใช้งาน Microsoft SQL และ MySQL
เมื่อควรใช้ Microsoft SQL:
- แอปพลิเคชันระดับองค์กรที่มีปริมาณธุรกรรมสูง
- แอปพลิเคชันที่ต้องการคุณสมบัติด้านความปลอดภัยขั้นสูง
- การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการทำ Business Intelligence
- องค์กรที่ใช้เทคโนโลยี Microsoft เช่น Azure และ Power BI
เมื่อควรใช้ MySQL:
- แอปพลิเคชันบนเว็บที่มีการอ่านข้อมูลจำนวนมาก
- สตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็กที่มองหาโซลูชันฐานข้อมูลที่คุ้มค่า
- แอปพลิเคชันที่ต้องการความยืดหยุ่นในการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม
- โครงการโอเพ่นซอร์สที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน
ประโยชน์ของ Microsoft SQL และ MySQL
ประโยชน์ของ Microsoft SQL:
- มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยขั้นสูงเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
- ประสิทธิภาพสูงในการประมวลผลคำสั่งที่ซับซ้อนและการประมวลผลธุรกรรม
- การผสานรวมที่ไร้รอยต่อกับเครื่องมือของ Microsoft เช่น Power BI และ Azure
ประโยชน์ของ MySQL:
- เป็นโอเพ่นซอร์สและคุ้มค่า เหมาะสำหรับสตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็ก
- การตั้งค่าที่ง่ายและใช้งานได้สะดวก
- รองรับการใช้งานข้ามแพลตฟอร์มเพื่อการปรับใช้งานที่ยืดหยุ่น
Summary
การเลือกใช้ระหว่างระบบฐานข้อมูลทั้งสองขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะทาง งบประมาณ และความต้องการทางเทคนิค ฐานข้อมูลของ Microsoft เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับแอปพลิเคชันระดับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยขั้นสูง ความสามารถในการขยายขนาด และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ในขณะที่ฐานข้อมูลโอเพ่นซอร์สอย่าง MySQL เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับสตาร์ทอัพ แอปพลิเคชันบนเว็บ และโครงการที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ
การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างฐานข้อมูลทั้งสอง จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้ระบบการจัดการฐานข้อมูลที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้ดีที่สุด
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Microsoft SQL ได้ที่ Microsoft SQL Server
Explore our digital tools
If you are interested in implementing a knowledge management system in your organization, contact SeedKM for more information on enterprise knowledge management systems, or explore other products such as Jarviz for online timekeeping, OPTIMISTIC for workforce management. HRM-Payroll, Veracity for digital document signing, and CloudAccount for online accounting.
Read more articles about knowledge management systems and other management tools at Fusionsol Blog, IP Phone Blog, Chat Framework Blog, and OpenAI Blog.



